ยืมเงินแล้วไม่คืน ได้ผลกรรมชัด คืนเถอะ บางทีคนที่ให้ยืม เขาก็ลำบากเหมือนกัน
25 มีนาคม 2563
ผู้ชม 1305 ผู้ชม
รูปจาก http://www.shareganpai.com
ยืมเงินแล้วไม่คืน ได้ผลกรรมชัด คืนเถอะ บางทีคนที่ให้ยืม เขาก็ลำบากเหมือนกัน
เป็นอีกหนึ่งนักคิดนักเขียนแนวธรรมะ ทั้งนิยายแทรกคติทางธรรม ซึ่งเข้าถึงได้ง่ายสำหรับผู้เริ่มต้นสนใจธรรมะ กับ ดังตฤณ หรือ ศรันย์ ไมตรีเวช ที่เขียนเรื่องราวออกมาได้อย่างน่าสนใจ ล่าสุดได้ตั้งคำถามใหญ่เชิงท้าทายในหัวข้อ ยืมเงินแล้วไม่คืนจะได้รับผลกรรมอย่างไร เราคัดลอกมาให้ดูกัน………
ยืมเงินแล้วไม่คืน ผลอาจไม่เหมือนกัน ต้องดูที่ตัวกรรมของแต่ละคน เมื่อรู้ว่ากรรมเป็นอย่างไร ก็จะพออนุมานถูกว่า ผลกรรมน่าจะประมาณไหน…….
รูปแบบของกรรม แปรไปตามเจตนา รวมทั้งความสามารถ ที่จะทำให้สำเร็จตามเจตนาด้วย เช่น…………………
บางคนยืมด้วยความตั้งใจคืน อาจมีข้อสัญญาชัดเจนว่า จะคืนเมื่อใด ให้หรือไม่ให้ดอกเบี้ย แล้วคืนได้ต.ามนั้นพร้อมของแถมตามข้อตกลง ผลที่เกิดขึ้นทันที คือความผูกพันในทางดี เป็นที่น่าเชื่อถือสำหรับกันและกัน ฝ่ายให้ ถือว่าได้บุญที่ให้โอกาส ฝ่ายรับ ถือว่าได้บุญที่ได้ทำตามที่พูด มีความสุข มีความเป็นผู้ใหญ่ด้วยกันทั้งคู่……..
บางคนยืมด้วยการตั้งใจคืน เสร็จแล้วคืนไม่ได้ ชนิดสุดวิสัย อย่างนี้ไม่ได้ตั้งใจโกง ไม่ได้ผิดศีลข้อ ๒ แต่ผลที่เกิดขึ้นทันทีในชาติปัจจุบัน คือ ความทรมานใจ การขาดความนับถือตัวเอง และการไม่เป็นที่น่าเชื่อถือของคนอื่น ส่วนผลในชาติถัดไปก็พอสมน้ำสมเนื้อ เช่นที่ให้เงินใครยืมแล้วไม่ได้คืน เพราะเหตุสุดวิสัยของลูกหนี้ เป็นต้น………
บางคนยืมด้วยความตั้งใจเรื่อยๆ มาเรียงๆ ไม่ฟันธง ไม่แน่ใจว่าจะคืนเมื่อไร คิดเผื่อไว้แค่แผ่วๆ ว่า เดี๋ยวมีมากๆ ค่อยให้ แบบนี้เหมือนก้ำกึ่ง เพราะทำไปๆ มีสิทธิ์พลิกจาก ‘เดี๋ยวจะคืน’ เป็น ‘ไม่คืนดีกว่า’ เอาได้ง่ายๆ ถึงจุดหนึ่งคนพวกนี้จะลืมความสัมพันธ์เก่าๆ หมด พอเห็นตัวเลขในบัญชีที่คืนได้ แต่เกิดความเสียดาย ความตระหนี่เข้าครอบงำจิตใจ รู้สึกขึ้นมาว่าอยู่ในบัญชีกู แปลว่าเงินกู เรื่องอะไรจะให้มันหายไปอยู่ในมือคนอื่น ความสำคัญมั่นหมายว่า ‘ของกู’ ทั้งๆ ที่ไม่ใช่นั่นแหละ คือมุกเด็ดที่กิเลสบงการให้ก่อบาปกันดื้อๆ ผลทันทีคือมีจิตอ่อนแอ คิดอะไรแบบเด็กๆ อยู่บนเส้นทางของคนเหลวไหล ข้างหน้าจึงสมควรกับชะตาที่ดูเหลวไหลไร้เหตุผล วันหนึ่งเหมือนมีทรัพย์ที่ยั่งยืน อีกวันกลับมลายหายไปราวกับความฝัน เป็นต้น……
บางคนยืมด้วยความตั้งใจไม่คืนตั้งแต่แรก แต่มาหว่านล้อมล่อหลอกว่าจะคืน พร้อมดอกเบี้ยมหาศาลบานตะไท ที่มายืมตรงนี้ก็เพียงเพราะ อยากประชดแบงก์ที่กู้ยากกู้เย็นนัก อันนี้ผิดศีลข้อ ๒ เต็มๆ เพราะขึ้นต้นด้วยเจตนาถือเอาทรัพย์ ที่เจ้าของมิได้ยกให้ และการผิดแบบนี้แถมพกข้อ ๔ มาด้วย ฉะนั้น ในที่ที่กรรมเผล็ดผล โทษสถานเบาในโลกมนุษย์ คือต้องเหมารวมทั้งผลของ การผิดข้อ ๒ และ ๔ รวมกันสองกระทง ผลของข้อ ๒ คือเป็นผู้มีทรัพย์พินาศ ผลของข้อ ๔ คือเป็นผู้ถูกหลอกลวง ถูกใส่ร้าย พูดง่ายๆ ว่า มีสิทธิ์เสียทั้งทรัพย์ เสียทั้งชื่อเสียง ด้วยการถูกใส่ร้าย ใส่ไคล้ หรือถูกต้มตุ๋นล่อลวงได้สารพัด
…………………..
แต่ข้อเท็จจริง เป็นเช่นที่พระพุทธเจ้าตรัส คือ คนโกหกเป็นนิตย์ ที่จะทำชั่วอะไรไม่ได้นั้นไม่มี ยิ่งถ้ามาถึงขั้นโกหกเพื่อเชิดเงินคนอื่นได้ ทำให้เขาเดือดร้อนหน้าตาเฉยได้ ก็แปลว่าต้องทำบาปร้ายกาจได้หนักกว่านี้ไปเรื่อยๆ ฉะนั้น โทษทัณฑ์ที่แท้จริง ก่อนจะมีสิทธิ์ได้กลับมาเป็นมนุษย์ จึงน่ากลัวกว่าที่เราเห็นๆ กันขณะเป็นมนุษย์……….
ในฐานะคนถูกโกง ก็ต้องระลึกด้วยว่า เกมกรรมยังไม่จบ คนถูกโกงก็ต้องมีกรรมในขั้นต่อไป เมื่อทวงแล้วไม่คืน เมื่อฟ้องแล้วไม่สำเร็จ (เพราะมักไม่มีสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรกัน) ที่สุดก็เหลือกรรมทางใจ จะคุมแค้น อยากลงมือแก้แค้นให้หายเจ็บใจ หรือจะเลือกเชื่อว่านี่เป็นโอกาสดี ชาตินี้ได้รู้จักศาสนาที่สอนเรื่องเหตุและผล ทำเหตุอย่างไรมา ก็ต้องได้ผลอย่างนั้นบ้าง รู้แล้วเราจะเลือกต่อเวรหรือหยุดเวร ทางโลกเหมือนยกให้เขาได้เงินไปฟรีๆ แต่ทางธรรมคือยกหนี้กรรมให้เขารับไปแบกแทน ในเมื่อมีตัวแทนมารับช่วงถึงที่ เราสมควรแค้นเคืองหรือขอบคุณ?!
ศรันย์ ไมตรีเวช
บทความจาก http://www.shareganpai.com